วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

Green Day

กรีนเดย์ (อังกฤษGreen Day) เป็นวงร็อกจากอเมริกา เริ่มก่อตั้งวงในปี 1987[1] โดยสมาชิก 3 คนคือ Billie Joe Armstrong (กีตาร์, ร้องนำ), Mike Dirnt (เบส) และ Tré Cool (กลอง)
มียอดขายอัลบัมทั่วโลกมากกว่า 60 ล้านชุด รวมถึง 22 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และได้รับรางวัลแกรมมี่ 3 ครั้งสาขา Best Alternative Album จากอัลบัม Dookie, Best Rock Album จากอัลบัม American Idiot, และ Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams"

ประวัติ

บิลลีและไมก์เจอกันแล้วร่วมกันตั้งวงชื่อ Sweet Children ขึ้นมาตอนอายุสิบขวบ (1982) ก็เล่นกันมาเรื่อย ๆ แต่ว่ายังไม่มีมือกลอง ตอนปี 1987 ก็มี John Kriftmeyer มาเป็นมือกลอง Sweet Children สถานที่ที่เล่นเป็นทางการครั้งแรกคือ Rod's Hickory Pit ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วก็เล่นตามผับ ตามร้านอาหารเรื่อยมา
หลังจากที่เปลี่ยนชื่อเป็นกรีนเดย์แล้ว กรีนเดย์ทำอีพีแรกคือ 1,000 Hours ตอนช่วงชีวิตมัธยม ไมก์เรียนจบ บิลลีพักการเรียนไว้ อัลบัมเปิดตัวครั้งแรกในปี 1990 คือ 1039 Smoothed Out Slappy Hours เป็นการนำเอาอีพีที่ทำไว้มารวมกัน ออกกับค่ายอินดี้อย่าง Lookout! Records หลังจากนั้นมือกลองก็ขอลาออกจากวงไปเรียนต่อ ไมก์และบิลลีจึงจัดการทาบทามมือกลองของวง The Lookout ! ซึ่งก็คือ Tre cool มือกลองคนปัจจุบัน tre เปิดตัวในฐานะหนึ่งในสมาชิกในอัลบัมที่สอง คือ Kerpunk
หลังอัลบัมที่สอง ก็มีการออกแสดงขึ้น Rob Cavallo ค่าย Reprise Records ได้สนใจจากการเห็นการเล่นสด และติดต่อไป กรีนเดย์จึงตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมงานด้วย อัลบัมที่ออกกะค่ายนี้คือ Dookie เพลงในอัลบัมนี้เป็นเพลงที่แต่งขึ้นระหว่างการออกแสดงดนตรีเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Dookie ออกวางจำหน่าย กรีนเดย์กลายเป็นที่รู้จักกันในนามวงร็อกมากด้วยพลังและสติไม่เต็ม มียอดขายได้มากกว่าสิบล้านแผ่น (เฉพาะในอเมริกา) กรีนเดย์ชนะรางวัลแกรมมี่ในปี 1994 สาขา Best Alternative Music Performance
อัลบัมที่ตามมาก็คือ Insomniac กับ Nimrod เพลงที่ประสบความสำเร็จคือเพลง Good Riddance (Time of Your Life) สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว กรีนเดย์ตัดสินใจพักงานเพลงสองปี ในปี 2000 กรีนเดย์โจมตีวงการเพลงอีกครั้งด้วยอัลบัม Warning และด้วยเสียงเพลงที่ต่างจากอัลบัมอื่น ๆ เลยทำให้ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับจากนักวิจารณ์และแฟนเพลงมากนัก เพลงที่โดนโจมตีมากที่สุดก็คือ Minority
หลังสี่ปีที่ไม่มีอัลบัมใหม่ออกมา จะมีก็แค่ทัวร์เล็กๆ น้อยๆ กรีนเดย์ปล่อยซิงเกิล American Idiot ที่โจมตีรัฐบาล ในเดือนกันยายน 2004 อัลบัม American Idiot ขึ้นที่หนึ่งของบิลบอร์ดชาร์ตและก็ชาร์ตต่างๆ มากมายอีกทั่วโลก กรีนเดย์ถูกเสนอชื่อเข้าชิง เจ็ดสาขาของแกรมมี่อวอร์ต และที่ได้รับรางวัลคือ คือ Best Rock Album และ Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams"
ห้าปีต่อมาหลังจากออกอัลบัมAmerican Idiotและได้ผลิตผลงานใหม่ในชื่อว่า 21st Century Breakdownเป็นเพลงแนว"Rock opera"ตามอัลบัม American Idiotและเป็นครั้งแรกที่ในการร่วมมือทำผลงานกับโปรดิวเซอร์เพลงชื่อดัง Butch Vig และได้เริ่มบันทึกเสียงทำผลงาน เดือนมกราคม ในปี 2006 และ 45 เพลงได้แต่งเพลงโดย สมาชิกในวง ต่อมาในเดือนตุลาคม ปี 2007 แต่สมาชิกวงและโปรดิวเซอร์ไม่ได้เข้ามาทำงานสตูดิโอจนถึง มกราคม 2008 และต่อมาก็เริ่มทำงานอย่างจริงจังและเริ่มบันทึกเสียงอีกครั้งในช่วง 3-4 ปี บันทึกเสียงสตูดิโอที่แคลิฟอร์เนียจนทำผลงานสำเร็จที่ในเดือนเมษายน ปี2009
กรีนเดย์เคยมาเปิดแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2539 ณ เอ็มบีเค ฮอลล์ และครั้งที่สองในชื่อ ทเวนตีเฟิสต์เซนเชอรีเบรกดาวน์ทัวร์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี
ล่าสุดทางวงได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Rock Album ในงานประกาศรางวัล Grammy Awards ครั้งที่ 52 จัดขึ้นที่ สเตเปิลส์เซ็นเตอร์ ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 31 มกราคม ปี 2010
ในปี 2012 เจสัน ไวต์ได้เป็นสมาชิกคนที่ 4 ของวง หลังจากออกแสดงคอนเสิร์ตกับวงนี้มานาน 13 ปี

กีฬา ยูโด


 ยูโด (Judo) เป็นศิลปะการป้องกันตัวประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ปัจจุบันมีผู้นิยมฝึกหัดเล่นกันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ยูโดเป็นรูปแบบของการป้องกันตัว
          เป็นศิลปะส่วนหนึ่งของชาวญี่ปุ่นที่มีการดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขให้ทันสมัย นอกจากจะเป็นการฝึกเพื่อป้องกันตัวเองแล้วยังเป็นการบริหารร่างกายเพื่อให้ เกิดความแข็งแรง ฝึกสมาธิให้มั่นคง ผู้ฝึกจะได้รับประโยชน์ทั้งด้านร่างกาย และสมาธิด้านจิตใจอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจู่โจมคู่ต่อสู้ หรือการตั้งรับ ยูโดมีชื่อเต็มว่า โคโดกัน ยูโด (Kodokan Judo) เดิมทีเดียวเรียกกันว่า ยูยิตสู (Jiujitsu) ซึ่งเป็นวิชาที่สามารถต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธด้วยมือเปล่าและเป็นการ ทำลายจุดอ่อนของคู่ต่อสู้

          ในประเทศญี่ปุ่นมีการเล่น ยูยิตสู กันอย่างแพร่หลายมากญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า ตนเองมีเชื้อสายมาจากเทพยดา เทพธิดา และเชื่อว่าตนเองเป็นลูกพระอาทิตย์ มีถิ่นที่อยู่บนเกาะใหญ่น้อยทั้งหลาย ราวๆ 3,000-4,000 เกาะ จากการที่อยู่อาศัยบนเกาะต่างๆ นี้เองจึงมีความคิดเห็นไม่ตรงกันและไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้ ทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ ผู้ที่ได้รับชัยชนะก็พยายามซ่องสุมเสริมสร้างกำลังพลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผู้ที่พ่ายแพ้ก็พยายามที่จะรวบรวมสมัครพรรคพวกที่พ่ายแพ้ขึ้นใหม่เพื่อรอ จังหวะช่วงชิงอำนาจกลับคืนมา ในสมัยนั้นประเทศญี่ปุ่น มีแต่ความทารุณโหดร้าย นักรบของแต่ละเมืองจะได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่ใช้ในสงครามหลายชนิด และมีความชำนาญมาก เช่น การฟันดาบ การยิงธนู การใช้หอก ทวน หลาว การขี่ม้า และยูยิตสู ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ใช้มือเปล่าในระยะประชิดตัว ไม่สามารถที่จะใช้อาวุธได้ถนัด การต่อสู้แบบยูยิตสูมิได้มุ่งที่จะทำให้คู่ต่อสู้มีอันตรายถึงชีวิต แต่มีจุดประสงค์เพื่อให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บและยอมแพ้ ถ้าไม่ยอมแพ้ก็อาจทำให้พิการทุพพลภาพ โดยใช้วิธีจับมือหักข้อต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
 ในสมัยนั้น นักรบญี่ปุ่นจะต้องฝึกการต่อสู้วิชายูยิตสูทุกคน การฝึกต้องฝึกสมาธิ และฝึกกำลังใจให้บังเกิดความแข็งแรง ร่างกายแข็งแกร่ง ทุกคนจะต้องมีความตั้งใจในการฝึก มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายได้ ยูยิตสูไม่มีความเมตตาปราณีใดๆ มิได้คำนึงถึงศีลธรรม จะคอยหาโอกาสซ้ำเติมคู่ต่อสู้ตลอดเวลา จึงทำให้อาจารย์ที่ตั้งสถานที่ฝึกอบรมวิชานี้ พยายามคิดค้นประดิษฐ์ท่าทางกลวิธีแตกต่างกันออกไปอย่างอิสระ สถานที่เปิดฝึกสอนหรือที่เรียกว่าโรงเรียนสำหรับสอนวิชายูยิตสูสมัยนั้นมี ประมาณ 20 แห่ง ซูโม่ ถือเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งของญี่ปุ่นที่แพร่หลาย ซูโม่เป็นการต่อสู้ของคน 2 คน ใช้มือเปล่าและกำลังกายเข้าทำการต่อสู้กันมาแต่สมัยโบราณกว่า 2,500 ปีมาแล้ว นักประวัติศาสตร์ในวิชายูยิตสูได้สนใจซูโม่มาก จากหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ที่รวบรวมโดย Imperial Command ชื่อนิฮอนโซกิ (Nihon-Sho-Ki) ในปี พ.ศ. 1263 กล่าวถึงการแข่งขันในสมัยของจักรพรรดิ์ ซุยนิน
          ก่อนคริสต์ศักราช 230 ปี (พ.ศ. 2313) ยืนยันว่าเป็นการเริ่มต้นของวิชาซูโม่ ซึ่งแปลว่าการต่อสู้โดยใช้กำลังเข้าประลองกัน การต่อสู้ตามหลักวิชาซูโม่ บางท่าจะตรงกับวิชายูยิตสู เช่น การใช้สะโพกเป็นกำลังบังคับขากวาดเหวี่ยงคู่ต่อสู้ให้เสียหลักล้มลงซึ่งท่า นี้วิชายูยิตสูเรียกว่า ฮาราย กุชิ (Harai Goshi) เป็นการยืนยันว่าวิชาซูโม่มีความสัมพันธ์กับวิชายูยิตสูแน่นอน การพัฒนาวิชายูยิตสูเป็นวิชายูโด ตอนปลายสมัย เซนโกกุ (Sengoku) วิชายูยิตสูได้ถูกรวบรวมไว้เป็นแบบแผนอย่างมีระเบียบ โตกูกาวา (Tokugawa) เป็นตระกูลที่ทำการปราบปรามการกระด้างกระเดื่องบรรดาเจ้าผู้ครองนครตามหัว เมืองต่าง ๆ ให้สงบลงอย่างราบคาบและตั้งตนเป็นมหาอุปราชปกครองประเทศญี่ปุ่น เมื่อบ้านเมืองสงบสุข
          วิชาการรบของพวกซามูไรที่ได้รับการศึกษาอบรมมาต้องปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสม กับกาลสมัย คือนอกจากการรบแล้ว ซามูไรต้องเรียนหนังสือเพื่อศึกษาวิชาการปกครอง การอบรมจิตใจให้มีศีลธรรม ยูยิตสูเป็นวิชาป้องกันตัวชนิดหนึ่งในสมัยนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงวิธีการต่อสู้จากการไร้ศีลธรรมมาเป็นการป้องกัน การต่อสู้ด้วยกำลังกาย และกำลังใจอันประกอบด้วยคุณธรรม มีจรรยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อยขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานยูยิตสู ซึ่งหมายความถึง "ศิลปะแห่งความสุภาพ" จากการที่มีการปรับปรุง และการวางระเบียบ เกี่ยวกับบทบัญญัติทางศีลธรรมของนักรบให้รัดกุมนี้เอง ทำให้ช่วง 50 ปีของสมัยกาไน บันจิ และคันม่ง (Kanei Banji and Kanmon พ.ศ. 2167-2216) ได้มีผู้เชี่ยวชาญวิชายูยิตสูขึ้นมามากมาย เช่น ไทยยูซึ (Tai juisu) วายูซึ (Wajuisu) เอกิโนยูชิ (Oginaiuchi) โอกูอาชิ (Koguashi) เคนโป (Kinpo) เทนบาริ (Ten Bari) ไทโด (Taido) เป็นต้น ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ทำให้คู่ต่อสู้พ่ายแพ้โดยใช้มือเปล่า ทำให้วิชายูยิตสูเป็นที่นิยมมาตลอดสมัยโตกูกาวา

          ต่อมาในสมัยเมจิ (Meji ปี พ.ศ. 2411) อารยธรรมตะวันตกได้หลั่งไหล เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นมาก ทำให้วัฒนธรรมประเพณีของญี่ปุ่นหลายอย่างกลายมาเป็นสิ่งล้าสมัยของต่างชาติ และชาวญี่ปุ่นสมัยใหม่ ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2414 จึงได้ออกกฎหมายห้ามนักรบใช้ซามูไรเป็นอาวุธ ห้ามพกหรือสะพายดาบซามูไร ยูยิตสูซึ่งเป็นวิชาที่นิยมเล่นกับซามูไร จึงถูกมองว่าเป็นสิ่งล้าสมัย เพราะทารุณ ป่าเถื่อน ฉะนั้นวิชายูยิตสูจึงได้รับการปรับปรุงและแก้ไขพร้อมกันหลายอย่างในสมัยเมจิ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ศิลปะการต่อสู้นานาชนิดรวมทั้งยูยิตสูต้องซบเซาลง สถาบันที่เปิดฝึกสอนยูยิตสู ซึ่งมีอยู่แพร่หลายได้รับกระทบกระเทือนถึงกับเลิกกิจการไปก็มีมาก กำเนิดยูโด หลังจากที่ญี่ปุ่นได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการต่อสู้ และทำให้วิชายูยิตสูเสื่อมความนิยมลงจนหมดนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2403 ได้มีชาวญี่ปุ่นชื่อ จิโกโร คาโน (Jigoro Kano) ชาวเมืองชิโรโกะ ได้อพยพครอบครัวมาอยู่ในกรุงโตเกียว


         ข้อมูลจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
         http://www.sat.or.th
นาย ธนพล สุขขารมย์ เลขที่21


การอ่านจับใจความ
ความหมายของการอ่านจับใจความสำคัญ
                คือ การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดสำคัญหลักของข้อความ หรือเรื่องที่อ่าน เป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด
                ใจความสำคัญ  หมายถึง ใจความที่สำคัญ และเด่นที่สุดในย่อหน้า เป็นแก่นของย่อหน้าที่สามารถครอบคลุมเนื้อความในประโยคอื่นๆ ในย่อหน้านั้นหรือประโยคที่สามารถเป็นหัวเรื่องของย่อหน้านั้นได้ ถ้าตัดเนื้อความของประโยคอื่นออกหมด หรือสามารถเป็นใจความหรือประโยคเดี่ยวๆ ได้ โดยไม่ต้องมีประโยคอื่นประกอบ ซึ่งในแต่ละย่อหน้าจะมีประโยคในความสำคัญเพียงประโยคเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน  2 ประโยค
                ใจความรอง หรือพลความ(พน-ละ-ความ) หมายถึง ใจความ หรือประโยคที่ขยายความประโยคใจความสำคัญ เป็นใจความสนับสนุนใจความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น  อาจเป็นการอธิบายให้รายละเอียด ให้คำจำกัดความ ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ หรือแสดงเหตุผลอย่างถี่ถ้วน เพื่อสนับสนุนความคิด ส่วนที่มิใช่ใจความสำคัญ และมิใช่ใจความรอง แต่ช่วยขยายความให้มากขึ้น คือ รายละเอียด
หลักการจับใจความสำคัญ
          ๑. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน
          ๒. อ่านเรื่องราวอย่างคร่าวๆ พอเข้าใจ และเก็บใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า
          ๓. เมื่ออ่านจบให้ตั้งคำถามตนเองว่า เรื่องที่อ่าน มีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
          ๔. นำสิ่งที่สรุปได้มาเรียบเรียงใจความสำคัญใหม่ด้วยสำนวนของตนเองเพื่อให้เกิดความสละสลวย
วิธีจับใจความสำคัญ
          วิธีการจับใจความมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับความชอบว่าอย่างไร เช่น การขีดเส้นใต้ การใช้สีต่างๆ กัน แสดงความสำคัญมากน้อยของข้อความ การบันทึกย่อเป็นส่วนหนึ่งของการอ่านจับใจความสำคัญที่ดี แต่ผู้ที่ย่อควรย่อด้วยสำนวนภาษาและสำนวนของตนเองไม่ควรย่อด้วยการตัดเอาข้อความสำคัญมาเรียงต่อกัน เพราะอาจทำให้ผู้อ่านพลาดสาระสำคัญบางตอนไปอันเป็นเหตุให้การตีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้  วิธีจับใจความสำคัญมีหลักดังนี้
          ๑. พิจารณาทีละย่อหน้า หาประโยคใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า
          ๒. ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอย่าง สำนวนโวหาร อุปมาอุปไมย(การเปรียบเทียบ) ตัวเลข สถิติ ตลอดจนคำถามหรือคำพูดของผู้เขียนซึ่งเป็นส่วนขยายใจความสำคัญ

          ๓. สรุปใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558


การใช้ภาษาในการโน้มน้าวใจ
           ควรใช้ภาษาในเชิงเสนอแนะ  ขอร้อง วิงวอน หรือเร้าใจ ซึ่งในการใช้ถ้อยคำให้เกิดน้ำเสียงดังกล่าว จะต้องเลือกใช้คำที่สื่อความหมายตามที่ต้องการ โดยคำนึงถึง จังหวะและความนุ่นนวล ในน้ำเสียง

หลักการเขียนโน้มน้าวใจควรคำนึงถึงหลักต่าง ๆ ดังนี้
       1. การวิเคราะห์ผู้อ่าน ผู้เขียนจะต้องวิเคราะห์ผู้อ่านว่า มีลักษณะอย่างไร เช่น เพศ วัย การศึกษา อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจ ฐานะทางสังคม และค่านิยม เป็นต้น การวิเคราะห์ผู้อ่านจะช่วย ให้ผู้เขียนสามารถกำหนด เนื้อหาและกลวิธีการนำเสนอได้อย่างเหมาะสม
       2.  การใช้หลักจิตวิทยา ผู้เขียนจะต้องอาศัยหลักจิตวิทยาในการเขียนโน้มน้าวใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เขียนต้องทำความเข้าใจธรรมชาติ ความสนใจ และความต้องการของผู้อ่าน ว่าน่าจะเป็น ไปในทิศทางใด แล้วจึงนำมาเป็นประโยชน์ในการเขียนโน้มน้าวใจต่อไป
       3. การให้เหตุผล ผู้เขียนต้องพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดเห็นของตน เหตุผลที่นำมาอ้างนั้นควรน่าเชื่อถือ มีน้ำหนักเพียงพอ และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านเชื่อถือ และยอมรับ ตลอดจนมีปฏิกิริยาตอบสนองความต้องการของผู้เขียน
       4. การใช้ภาษา ภาษาทีใช้ในการเขียนโน้มน้าวใจควรเป็นภาษาที่เร้าอารมณ์และความรู้สึกของผู้อ่าน ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องมีศิลปะในการใช้ภาษา คือ รู้จักเลือกสรรถ้อยคำที่สื่อความหมายได้ชัดเจน ก่อให้เกิดภาพ และกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่าน

การพูดโน้มน้าวใจ
           การพูดโน้มน้าวใจเป็นพฤติกรรมการสื่อสารอย่างหนึ่ง  คือ  การใช้ความพยายามเปลี่ยนความเชื่อ  ทัศนคติ  ค่านิยม และการกระทำของบุคคลอื่น โดยใช้กลวิธีที่เหมาะสมให้มีผลกระทบใจบุคคล  ทั้งโดยใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษา จนเกิดการยอมรับและยอมเปลี่ยนตามที่ผู้โน้มน้าวใจประสงค์ หลักการสำคัญของการพูดโน้มน้าวใจ ได้แก่ การทำให้มนุษย์ประจักษ์ว่า  ถ้าเชื่อและเห็นคุณค่า หรือทำตามที่ ผู้โน้มน้าวใจชี้แจงหรือชักนำแล้ว  ก็จะได้รับผลที่ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของตนนั่นเอง แต่ตราบใดที่ความประจักษ์ชัดยังไม่เกิดขึ้น ก็ยังถือว่าการโน้มน้าวใจยังไม่สัมฤทธิ์ผล ดังนั้นผู้โน้มน้าวใจควรได้ตระหนักถึงประเด็นของการนำเสนอเหตุผลเพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจ  เห็นความสำคัญและยอมรับการโน้มน้าวใจ